บัญชีบนบล็อกเชนอื่นๆ

เพื่อที่จะเชื่อมเชนที่แตกต่างกันบัญชีแบบ Threshold (Threshold Account) จะถูกสร้างขึ้นบนแต่ละบล็อกเชนเพื่อควบคุมการไหลของสินทรัพย์และข้อมูลระหว่างเชน เราจะใช้สัญลักษณ์ดังนี้ เชนใดๆ จะถูกเรียกว่า $Chain$ และบัญชี Threshold ของ $Chain$ นั้นจะถูกเรียกว่า $Chain_{Axelar}$

บัญชี Bitcoin

สำหรับ Bitcoin และเชนอื่นๆ ที่ไม่มีสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) Validator ของ Axelar จะสร้าง ECDSA Key แบบ Threshold ขึ้นมาตามที่ได้พูดไว้ที่นี่ คีย์นี้จะควบคุมบัญชี ECDSA บน Bitcoin และเป็นที่อยู่ปลายทางสำหรับให้ผู้ใช้งานที่จะทำการฝากสินทรัพย์ Threshold Key ส่วนบุคคลอาจถูกสร้างขึ้นตามคำขอของผู้ใช้งาน คีย์นี้จะถูกอัพเดทเป็นระยะ โดยที่คีย์ล่าสุดและคีย์ส่วนบุคคลสามารถหาได้จากการส่งคำขอไปยังโหนดของ Axelar

บัญชี Threshold Bridge บนเชนที่มีสัญญาอัจฉริยะ

เราจะแทนบล็อกเชนประเภทนี้ด้วย $SC$ โดย Validator จะทำการสร้าง ECDSA หรือ ED25519 Key แบบ Threshold ขึ้นมาตามที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับว่าเชนนั้นรองรับคีย์แบบใด ถ้าหากไม่มีความกำกวมว่าเราระบุถึงบล็อกเชนไหนเราแทนคีย์นี้ด้วย $PK_{Axelar}$ คีย์นี้จะควบคุมบัญชีสัญญาอัจฉริยะบน $SC$ และเราจะเขียนแทนด้วย $SC_{Axelar}$แอปพลิเคชันใดๆ บน $SC$ จะสามารถส่งคำขอดึงข้อมูลไปยัง $SC_{Axelar}$เพื่อขอข้อมูลที่อยู่ของ $PK$ของคีย์นั้น ด้วยวิธีนี้แอปพลิเคชันใดๆ บน $SC$ สามารถรับรู้ถึงข้อความที่ถูกเซ็นด้วย $SK_{Axelar}$ได้ โปรโตคอลยังต้องพิจารณาถึงการหมุนเวียนค่าของ $PK_{Axelar}$ด้วย โดยจะเกิดขึ้นตามนี้:

1. ใช้งาน $SC_{Axelar}$บน $SC$ และเก็บ $PK_{Axelar}$ไว้เป็นส่วนหนึ่งของสถานะโดยที่จะถูกเรียกใช้เป็นค่าแรกบน Axelar และ $SC_{Axelar}$ ยังมีกฎที่ใช้สำหรับอัพเดท $PK$ด้วย

2. เพื่อที่จะอัพเดท $PK_{Axelar}$จำเป็นที่จะต้องมีการส่งธุรกรรมในรูปแบบ $(update,PK_{new})$ พร้อมกับลายเซ็นที่มาจาก $SK_{Axelar}$อันปัจจุบัน จากนั้นสัญญา (Contract) จึงจะกำหนดให้ $PK_{Axelar}=PK_{new}$

3. ทุกๆ ครั้งที่ Validator ทำการอัพเดท Threshold Key ของ $SC$ จาก $PK_i$ ไปเป็น $PK_{i+1}$ เครือข่าย Axelar ส่งคำขอไปให้ Validator เพื่อให้ใช้ $SK_i$ ในทำการเซ็น $(update,PK_{i+1})$ หลังจากนั้นลายเซ็นนี้จะถูกประกาศใน $SC_{Axelar}$ เพื่อทำการอัพเดท $PK_{Axelar}$